โรงงานบรรจุภัณฑ์ เอส ไอ จี ในไทยฉลองครบรอบ 25 ปี

โรงงานบรรจุภัณฑ์ เอส ไอ จี ในไทยฉลองครบรอบ 25 ปี ดำเนินธุรกิจด้วยนวัตกรรมและโซลูชั่นส์บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืน พร้อมด้วยการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค ผลิตพลังงานสะอาด และสนับสนุนความมุ่งมั่นของ เอส ไอ จี ในการเป็นบริษัทที่ตอบแทนสังคมและสิ่งแวดล้อม

 

 

 

 

 

 

 

เอส ไอ จี กรุ๊ป ผู้นำการให้บริการโซลูชั่นส์ด้านบรรจุภัณฑ์เพื่อโลกที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น เฉลิมฉลองวาระครบรอบ 25 ปี โรงงานบรรจุภัณฑ์ของบริษัทที่จังหวัดระยอง โดยในปีนี้ยังเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่โรงงานแห่งนี้ได้ใช้ไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ครบรอบ 5 ปี นับตั้งแต่มีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ในโรงงาน ซึ่งช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ถึง 12,871 ตันเทียบเท่า นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 เทียบเท่ากับการชดเชยการปล่อย CO2 ด้วยต้นไม้กว่า 280 ถึง 415 ต้น หรือเทียบเท่าผืนป่าขนาด 10,000 ตรม.

 

 

 

 

 

 

โรงงานเอส ไอ จี จ. ระยอง เริ่มดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปี 2541 บนพื้นที่กว่า 109,600 ตรม. พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าทั้งในเอเชียแปซิฟิกและเอเชียใต้ โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอินเดีย โรงงานแห่งนี้มีการผลิตบรรจุภัณฑ์ปลอดเชื้อถึงราว 11,000 ล้านกล่อง ให้กับแบรนด์ต่างๆ เช่น ไทย เดนมาร์ค, เนสท์เล่, Friesland Campina, Vinamilk, Indomilk, Ultrajaya, Parle Agro, Amul เป็นต้น

 

 

 

 

 

 

อีกทั้งยังเป็นโรงงานผลิตของเอส ไอ จี แห่งแรกในโลกที่ใช้ระบบโซลาร์โฟโตวอลเทอิก (Photovoltaic หรือ PV) ที่มีประสิทธิภาพในการผลิตพลังงานจนทำให้บรรลุเป้าหมายตามแผนพลังงานของไทย พ.ศ. 2579 ที่กำหนดให้ใช้พลังงานไฟฟ้า 40% จากแหล่งพลังงานหมุนเวียน โดยโรงงานเอส ไอ จี จ.ระยอง มีแผงโซลาร์เซลล์จำนวน 12,350 แผง บนพื้นที่กว่า 40,064 ตรม.(เปรียบเทียบได้เท่ากับสนามฟุตบอล 5 สนาม) สามารถผลิตกำลังไฟฟ้าได้ 5,675 เมกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี หรือเทียบเท่ากับการจ่ายไฟให้แก่บ้านที่อยู่อาศัย 5,620 หลังคาเรือนในแต่ละเดือน

 

 

 

 

 

 

มิสเตอร์มิเกล กามิโต ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตและซัพพลายเชน โรงงานเอส ไอ จี จังหวัดระยอง กล่าวว่า “โรงงานบรรจุภัณฑ์ของเอส ไอ จี ที่ระยองมีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลิตโซลูชั่นส์บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนแก่ตลาดหลักในภูมิภาค โรงงานแห่งนี้เป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค อันแสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการลดคาร์บอนฟุตพรินต์และเดินหน้าสู่การเป็นบริษัทที่ตอบแทนสังคมและสิ่งแวดล้อมมากกว่าการเป็นฝ่ายรับ (Net-Positive)” พร้อมกล่าวเสริมว่า “เนื่องในวาระครบรอบ 25 ปี เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้ตอบแทนชุมชนในจังหวัดระยองและทำหน้าที่อย่างดีในการส่งเสริมความยั่งยืนในภูมิภาค”

 

 

 

ในปี 2562 ที่ผ่านมา โรงงานแห่งนี้ได้รางวัลฉลากลดโลกร้อนของ Thailand Energy Award จากโครงการโซลาร์รูฟท็อป อันเป็นรางวัลจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน โดยมอบให้กับเอส ไอ จี ที่ได้ลงทุนจัดตั้งโครงการพลังงานทดแทนประเภทที่ไม่เชื่อมโยงกับระบบสายส่งไฟฟ้า (off-grid) ที่จังหวัดระยอง อันเป็นส่วนหนึ่งภายใต้ความมุ่งมั่นของบริษัท ที่จะตอบแทนสังคมและสิ่งแวดล้อมให้มากกว่าที่ได้รับ

 

 

 

 

 

 

 

นอกจากแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาแล้ว ยังมีฟาร์มโซลาร์เซลล์และโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงจอดรถอีกด้วย เปรียบได้ว่าโรงงานแห่งนี้ มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ของไทย ปัจจุบันโรงงานสามารถผลิตบรรจุภัณฑ์โดยใช้วัสดุกระดาษแข็งที่ผ่านการจัดหาอย่างตระหนักต่อความรับผิดชอบที่ได้รับการรับรอง 100% จาก FSC (Forest Stewardship Council) รวมถึงอะลูมิเนียมที่ได้รับการรับรอง 100% จาก ASI (Aluminium Stewardship Initiative) ภายใต้มาตรฐาน ISCC Plus (International Sustainability and Carbon Certification) เป็นมาตรฐานรับรองคาร์บอนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนระหว่างประเทศ

 

 

 

 

 

 

 

แอนเจลา ลู ประธานและผู้จัดการทั่วไปของเอส ไอ จี ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกใต้ กล่าวว่า “โรงงานบรรจุภัณฑ์ของเอส ไอ จี ในอาห์เมดาบัด ประเทศอินเดีย ที่คาดว่าจะเดินสายการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในช่วงปลายปี 2567 เพื่อป้อนลูกค้าในแถบเอเชียใต้ จะช่วยให้โรงงานที่ระยองสามารถทุ่มเทกับโซลูชั่นส์ บรรจุภัณฑ์ที่เน้นความยั่งยืนได้มากยิ่งขึ้นเพื่อลูกค้าในเอเชียแปซิฟิกของเรา”

 

 

นอกจากการจ้างแรงงานในพื้นที่จังหวัดระยองแล้ว โรงงานเอส ไอ จี จ.ระยอง ยังมอบหมายให้ซิมไบโอร์ โซลาร์ ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์แผงโซลาร์เซลล์ของเอสไอจี ทำการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ 7kWp ให้แก่โรงเรียนนิคมสร้างตนเอง 10 จังหวัดระยอง อันถือเป็นส่วนหนึ่งในสัญญาธุรกิจกับ เอส ไอ จี ซึ่งเป็นตัวอย่างในการสร้างพลังงานหมุนเวียนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าที่เพียงพอสำหรับโรงเรียน และช่วยประหยัดค่าไฟรายเดือนกว่า 4,000 บาท ทั้งนี้ การติดตั้งไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ยังช่วยให้นักเรียนและครูได้ตระหนักถึงการอนุรักษ์พลังงานและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศอีกด้วย

Post a Comment

#FOLLOW US ON INSTAGRAM