
ปริมาณขยะพลาสติก…กับทิศทางอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต ประเทศไทยจะไปทิศทางไหน? เมื่อ 5 เทรนด์ ปี 2563 มาแรง
ปริมาณขยะพลาสติก…กับทิศทางอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต ประเทศไทยจะไปทิศทางไหน? เมื่อ 5 เทรนด์ ปี 2563 มาแรง
ช่วงที่ผ่านมารัฐบาลมาเลเซียมีการตรวจสอบพบขยะพลาสติกในตู้คอนเทรนเนอร์ และได้ประกาศจะส่งขยะพลาสติกจำนวน 150 ตู้คอนเทนเนอร์กลับประเทศต่างๆ 13 ประเทศ หลังจากมีการลักลอบนำเข้าขยะพลาสติกอย่างผิดกฎหมายโดยบริษัทรับกำจัดขยะในมาเลเซีย จนรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมของมาเลเซีย ได้ออกมากล่าวว่า การกระทำดังกล่าวของมาเลเซียเป็นการประกาศให้รู้ว่า “มาเลเซียไม่ใช่แหล่งทิ้งขยะของโลก” นับเป็นถ้อยคำแถลงที่ชัดเจนอย่างมากต่อการให้ความสำคัญในการปกป้องด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาทางรัฐบาลมาเลเซียได้ประกาศปิดโรงงานกำจัดขยะพลาสติกที่ลักลอบเปิดในมาเลเซียอีกกว่า 200 แห่ง พร้อมทั้งประกาศทำสงครามกับปัญหาขยะพลาสติกในมาเลเซีย
โดยที่ผ่านมา ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นประเทศปลายทางที่มีการขนส่งขยะเข้ามาทิ้ง หรือ นำมากำจัด หลังจากจีนประกาศไม่รับขยะนำเข้าเพื่อนำมากำจัดตั้งแต่ปี 2561 ส่งผลให้บริษัทรับกำจัดขยะจีนหลายบริษัทย้ายโรงงานเข้ามายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน โดยเฉพาะในมาเลเซีย ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์
ในประเทศไทยเริ่มใช้มาตรฐานลดการใช้ถุงพลาสติกกันบ้างแล้วในซุปเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ๆ อย่าง บิ๊กซี โลตัส หรือแม้แต่ 7-Eleven การรณรงค์การเลิกใช้ถุงขยะ นอกจากจะช่วยลดปริมาณขยะและรักษาสิงแวดล้อมแล้ว ยังเป็นการช่วยปรับพฤติกรรมของผู้บริโภคให้มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าที่สุดด้วย โดยในแต่ละปีมีปริมาณขยะพลาสติกเกิดขึ้นเฉลี่ย 2 ล้านตัน สาเหตุมาจากการขยายของชุมชนเมือง และด้วยปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นทุกปีประกอบกับได้มีการนำขยะพลาสติกจากต่างประเทศเข้ามาจำจัดในโรงงานที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย จึงทำให้ปริมาณขยะพลาสติกที่เข้ามาอยู่ในวงจรการกำจัดอยู่เป็นจำนวนมาก ผลที่ตามมาคือมลพิษในรูปแบบต่างๆ ทั้งทางน้ำ อากาศ และดิน ดังนั้นประเทศไทยเราอาจจะต้องประกาศทำสงครามการกำจัดขยะพลาสติกเหมือนๆ ในมาเลเซียก็เป็นได้ในอนาคต หากมีการบริหารจัดการไม่ดีพอ…
โลกการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต
ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในปี 2563 ที่มีกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพใหญ่ ได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ในฐานะเจ้าภาพงบบูรณาการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เผยว่า ในปี 2563 ได้จัดสรรงบประมาณ 1 พันกว่าล้านบาท ตั้งเป้าหมายการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 4 กลุ่มหลัก คือ อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต อุตสาหกรรมชีวภาพ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ และอุตสาหกรรมหุ่นยนต์กับระบบอัตโนมัติ ซึ่งมีเป้าหมายเพิ่มผลผลิตภาพการผลิตให้ได้อย่างน้อย 2.2% เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมายให้สำเร็จ นับว่าเป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างมากสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมของไทย และภาคเอกชนเองก็ถือว่าเป็นงานที่หนักน่าดูสำหรับภารกิจครั้งนี้
แต่สิ่งที่อยากให้มามองคือในเรื่องของอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตกันดีกว่า ว่าจะมีทิศทางในการขับเคลื่อนและพัฒนาไปในทิศทางใดบ้าง เหตุเพราะว่าอุตสาหกรรมอาหารของไทยนับว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่เส้นหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แต่ไม่ได้รับการกล่าวขานกันมากนักแต่มีการขยายตัวและเติบโตแบบเงียบๆ และประจวบกับปัญหาด้านการบริหารการจัดการเรื่องของถุงพลาสติกที่ได้รับการปรับเปลี่ยนอยู่ในขณะนี้ ซึ่งอาจมีผู้ได้รับประโยชน์และเสียผลประโยชน์เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมอาหาร จึงทำให้เป็นที่น่าจับตามองอย่างมากว่าทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารทั้งระบบของไทยเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอนาคตจะเป็นอย่างไร
ในส่วนของการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต ทางกระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเสนอแผนการปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ปี 2562-2571 ซึ่งต้องรอการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสียก่อน ซึ่งคาดว่ามีผลออกมาในเร็วๆ นี้ โดยแผนการขับเคลื่อนของอุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตจะมีเป้าหมายระยะยาวในการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารแห่งอาเซียน โดยในปี 2563 ได้มีจัดงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนานวัตกรรมด้านอาหารผ่านโครงการ ฟู้ด อินโนโพลิส (Food Innopolis) ซึ่งเป็นศูนย์การพัฒนาและวิจัยเพื่อเพิ่มศักยภาพอาหารด้วยเทคโนโลยี และยังสร้างผู้ประกอบการสายพันธุ์ใหม่ที่ตั้งเป้าไว้ 1,000 คน ควบคู่กับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากด้วย
5 เทรนด์ กระแสที่มาแรงปีนี้
จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดขึ้นบ้างในปี 2563 โดยผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มมองว่าเทรนด์ที่เห็นในปี 2562 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ซึ่งเป็นไปในทิศทางอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารคลีน และอาหารที่ส่วนประกอบหลักทำจากพืช (Plant-Based) จะยังคงความต่อเนื่องเข้ามาในปีนี้ ซึ่งจะเพิ่มเติมคือความเข้มข้นขึ้น สำหรับแนวโน้มปีนี้จะได้รับอิทธิพลหลักๆ จากผู้บริโภคที่มีความตระหนักรับผิดชอบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดชอบต่อสุขภาพอนามัยของตัวเอง หรือต่อโลกและสิ่งแวดล้อม ซึ่งต่อไปนี้เป็น 5 แนวโน้มหลักที่เว็บไซต์ www.foodbev.com รวบรวมเอาไว้
- สแน็ก หรือของกินเล่นที่ดีต่อสุขภาพผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบโจทย์ทั้งความต้องการด้านโภชนาการและการดับความหิวท่ามกลางวิถีชีวิตที่มีการงานหรือกิจกรรมต่างๆ รัดตัว หาเวลาได้น้อย และมีคุณค่าทางอาหาร จึงเติบโตมากทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาซึ่งน่าจะเป็นกระแสที่มาแรงในปี 2563 นี้
- เทรนด์อาหารไร้น้ำตาล หรือหวานได้ด้วยทางเลือกใหม่แน่นอนว่าผู้บริโภคที่รักสุขภาพในยุคนี้ พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่อุดมไปด้วยนํ้าตาลที่นำไปสู่การเพิ่มนํ้าหนัก และโรคภัยไข้เจ็บอีกหลายรูปแบบ ดังนั้นพวกเขาจึงมองหาทางเลือกใหม่ที่สามารถให้ความหวานและรสชาติที่ดี แต่เป็นมิตรกับสุขภาพ ในขณะเดียวกันเทรนด์ดังกล่าวนี้ทำให้บริษัทผู้ผลิตอาหารพยายามมองหาทางเลือกสำหรับผู้บริโภค
- เทรนด์อาหารสำหรับคนกินมังสวิรัติเป็นครั้งคราว หรือที่เรียกว่า เฟล็กซิทาเรียน (Flexitarian) พวกเขาไม่อยากทานเนื้อสัตว์ หรือพยายามลดการบริโภคเนื้อสัตว์ แต่ก็ไม่ได้ทานมังสวิรัติ (Vegetarian) หรือทานเจ (Vegan) ตลอดเวลา ดังนั้นบริษัทผู้ผลิตอาหารและผู้ค้าปลีกจึงได้แสวงหาสินค้าที่เป็นทางเลือกใหม่มาตอบสนองความต้องการให้กับผู้บริโภคในกลุ่มนี้
- เทรนด์เครื่องดื่มซ่าที่ให้รสชาติ แต่น้ำตาลและแคลอรีต่ำก่อนหน้านี้ผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพ พยายามมองหาทางเลือกสำหรับเครื่องดื่มในยามสังสรรค์ที่ช่วยให้พวกเขารู้สึกสนุกและผ่อนคลายอย่างไม่รู้สึกผิดต่อสุขภาพตัวเองมากนัก ดังนั้นเครื่องดื่มรสซ่าแนวโซดาที่ให้ความรู้สึกสดชื่นแบบไร้นํ้าตาลจึงเข้ามาเป็นกระแสนิยมแทนที่สำหรับการดื่มเพื่อสังสรรค์และผ่อนคลาย
- เทรนด์กินให้หมด ไม่เหลือทิ้งเหลือขว้าง No Food Waste เป็นแนวโน้มมาแรงในหลายๆประเทศทั่วโลกควบคู่ไปกับกระแสเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ Circular Economy ที่เน้นการใช้ทรัพยากรต่างๆให้เกิดประโยชน์สูงสุด และให้เหลือเป็นขยะน้อยที่สุด