การปรับกระบวนการสู่ดิจิทัล เร่งสร้างความคล่องตัว และโปร่งใส ให้อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มยุคใหม่ โดย คีธ แชมเบอร์ส รองประธานของ AVEVA ดูแลทิศทางด้านกลยุทธ์ การค้าและการพัฒนา กับ Schneider Electric

 

 

 

 

 

 

การปรับกระบวนการสู่ดิจิทัล เร่งสร้างความคล่องตัวและโปร่งใส ให้อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มยุคใหม่

โดย คีธ แชมเบอร์ส รองประธานของ AVEVA ดูแลทิศทางด้านกลยุทธ์ การค้าและการพัฒนากับ Schneider Electric

 

 

การปรับกระบวนการสู่ดิจิทัล หรือ Digitization กำลังพลิกโฉมธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม จากการเปลี่ยนแปลงด้านซัพพลายเชนครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน รวมถึงความท้าทายด้านสภาพแวดล้อมและเศรษฐกิจ บริษัทต่างๆจะยังแข่งขันได้หากเร่งผันตัวสู่การปฏิรูปทางดิจิทัล การปฏิรูปดังกล่าวจะทำให้บริษัทเหล่านี้ สามารถบรรลุ “ผลกระทบเชิงบวกได้จริง” อีกทั้งช่วยให้ซัพพลายเชนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทก็สามารถนำข้อมูลคุณภาพสูงมาช่วยตัดสินใจทางธุรกิจที่สร้างผลกำไรได้

 

 

 

การเร่งสู่ดิจิทัล ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาด้านประสิทธิภาพ แต่ยังให้ความยืดหยุ่น ซึ่งรวมถึงโปรแกรมด้านความยั่งยืนภายในองค์กรเองเช่นกัน ช่วยให้บริษัทต่างๆ บริหารจัดการซัพพลายเชน และห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสื่อสารกับผู้มีส่วนร่วมหลักๆ ในองค์กรได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังสร้างความแตกต่างของแบรนด์ได้ทั่วทั้งกระบวนการ แนวทางดังกล่าว เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศทั้งหมดของธุรกิจ การเลือกคู่ค้าด้านเทคโนโลยีที่เหมาะสมก็นับว่าเป็นหัวใจสำคัญเช่นกัน

 

 

 

โดยโซลูชั่นส์ด้านเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้ว เพื่อช่วยสร้างประสิทธิภาพให้ความยืดหยุ่นและความยั่งยืนสำหรับธุรกิจ ช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับคนทำงานและช่วยให้การดำเนินการต่างๆ เป็นไปอย่างเรียบง่าย เพื่อรับมือกับความซับซ้อนของตลาดได้ดี

 

 

 

 

 

 

การปฏิวัติด้านอาหาร

 

 

 

ในปี 2553 อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ได้สร้าง 23 แบรนด์ ซึ่งอยู่ใน 100 แบรนด์ชั้นนำระดับโลก และคืนทุนให้กับผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 15% ในแต่ละปีเป็นเวลา 45 ปี มาแล้ว โดยอยู่บนฐานของแกนหลักต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแบรนด์สำหรับตลาดที่มีกลุ่มลูกค้ากว้าง หรือ Mass Market และสัมพันธภาพด้านการกระจายสินค้ากับร้านค้าปลีก การวางแนวทางในการพัฒนาด้านการตลาด การดำเนินการที่ต่อเนื่อง และการลดค่าใช้จ่ายรวมถึงการควบกิจการที่เพิ่มประโยชน์จากการขยายธุรกิจ โดยในช่วงเวลานั้น อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ถือเป็นภาคอุตสาหกรรมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด

 

 

 

 

ปัจจุบัน บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่ม ตระหนักว่ามีคนหลายกลุ่มที่เกี่ยวข้องในธุรกิจที่ดำเนินอยู่ ทั้งลูกค้า พนักงานและชุมชน และผู้ถือหุ้น ซึ่งคำจำกัดความของ “คุณค่า” ก็แตกต่างกันไปตามแต่ละกลุ่ม ก่อนโควิด มีการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานด้านความคิดของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) และอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคแบบบรรจุหีบห่อ (CPG) เพื่อให้สอดคล้องกับคุณค่าที่ผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจแต่ละกลุ่มกำหนดไว้สำหรับสินค้าที่ตัวเองผลิต

 

 

 

เมื่อเกิดโควิด และนำไปสู่ New Normal การแพร่ระบาดยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในวงการซัพพลายเชนที่มีความท้าทายอยู่แล้วในเรื่องความหลากหลายและความรวดเร็ว รวมถึงยิ่งเป็นการขยายผลให้เกิดความต้องการเรื่องความยืดหยุ่นและการควบคุมซัพพลายเชนในภาคการผลิตได้มากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ประเด็นที่ซับซ้อนทั้งเรื่องความปลอดภัยของคนงาน และการสร้างระยะห่างทางสังคมยังกลายเป็นเรื่องสำคัญ ตลอดจนเรื่องคนทำงานจากระยะไกลที่ก่อนหน้านั้นเคยทำงานอยู่ในโรงงาน ทำงานเป็นกะ รวมถึงความจำเป็นในเรื่องการทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ มากขึ้น ผลิตภัณฑ์บางอย่างก็กลาย “เป็นที่ต้องการ” ซึ่งบริษัทก็ต้องพยายามผลิตให้เพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้

 

 

 

มีคำกล่าวของ คีธ แชมเบอร์ส ที่กล่าวเอาไว้ว่า “ในห้วงกระแสของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะยังคงดำเนินต่อไป และไม่หายไปไหนอีกสักระยะ”

 

 

 

 

ปัจจัย 4 ประการ เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและคล่องตัว

 

 

 

 

  1. เพิ่มศักยภาพให้พนักงาน บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องปฏิรูปวิธีการทำงานให้ครอบคลุมถึงบทบาทหน้าที่ของทีมงาน อีกทั้งสร้างความสามารถในการประสานความร่วมมือระหว่างทีมงานและบทบาทของงานได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  2. เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการได้อย่างเหมาะสม ผู้ประกอบการผลิตต้องสามารถวัดและปรับปรุงกระบวนการรวมถึงประสิทธิภาพการดำเนินการอีกทั้งพัฒนาความสามารถในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างต่อเนื่อง
  3. มีส่วนร่วมกับลูกค้า สมาชิกในอุตสาหรรมอาหารและเครื่องดื่ม จำต้องดำเนินงานให้สอดคล้องตามกฎระเบียบต่างๆ รวมถึงเรื่องของความปลอดภัย โดยสามารถตรวจสอบย้อนกลับตั้งแต่ฟาร์มจนถึงโต๊ะอาหารได้ (Farm-To-Fork) พร้อมกับเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ได้เร็วยิ่งขึ้น
  4. การนำเสนอด้านการปฏิรูป บรรดาธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องเข้าใจการนำเสนอที่ขับเคลื่อนด้วยดีมานด์ และซัพพลายเชนก็ต้องรองรับการเพิ่มดีมานด์เหล่านี้ได้ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของความยืดหยุ่นในองค์กรในภาพรวม ที่ช่วยให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่และเพิ่มบริการใหม่ได้

 

 

 

ลดความเสี่ยงเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร ด้วยความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)

 

 

 

ความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดทางแบบเอ็นด์-ทู-เอ็นด์ นับเป็นเครื่องมือสำคัญในการปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยของอาหาร ผู้บริโภค ปลายทางกำลังเรียกร้องถึงความโปร่งใสและข้อมูลที่มากขึ้น เกี่ยวกับสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มที่ซื้อ ความยั่งยืนยังเชื่อมโยงโดยตรงกับความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดทางแบบเอ็นด์-ทู-เอ็นด์ จากองค์กรด้านอาหารโลก

 

 

 

 

ตัวอย่างที่สมบูรณ์ที่ช่วยให้เห็นภาพ ในประเด็นนี้ คือ เราจะเห็นได้ว่าสหภาพยุโรปมีการตีพิมพ์ “Farm to Fork Strategy” ซึ่งเป็นกลยุทธ์จากฟาร์มถึงโต๊ะอาหาร ในเดือนพฤษภาคมปี 2563 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ก็ได้ออกข้อเสนอด้านกฎระเบียบใหม่ในการติดตามแบบย้อนกลับ “New Traceability Rule Proposal” มาในเดือนกันยายน ปี 2563 ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม!

 

 

 

 

“ประเด็นนี้ นับเป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่เกิดขึ้น ที่มีการเรียกร้องให้สามารถตรวจสอบข้อมูลย้อนกลับได้ ไม่เพียงแต่ในระดับโรงงาน แต่ยังรวมถึงซัพพลายเชนของเราด้วย” มารีลิเดีย คล็อตโต กล่าว

 

 

 

 

 

 

 

อะไรคือความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดทาง

 

 

 

ความสามารถในการตรวจสอบย้อนกลับได้ตลอดทาง คือความสามารถในการระบุ รวบรวมและตรวจสอบข้อมูลไซโลในแต่ละขั้นตอนของห่วงโซ่อาหาร ตั้งแต่วัตถุดิบตลอดจนจุดวางขาย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจับคู่ซัพพลายเออร์ทั้งหมด เพื่อรวบรวมข้อมูล เช่นที่มาของส่วนผสมและเช็คการรับรองที่สอดคล้องตามข้อบังคับ ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นข้อกำหนดเบื้องต้น ในการสร้างความโปร่งใส และความสามารถในการติดตามในระบบอาหารทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มต้น และเกี่ยวข้องกับแกนหลัก 4 ประการ เช่นกัน

 

 

 

 

ประการแรก อะไรคือขอบเขต?

 

 

การรวบรวมข้อมูลจากซัพพลายเชนที่กว้างขวาง และโซลูชั่นส์ในการจัดเก็บ (Storage Solution) ที่เก็บข้อมูลในประวัติทั้งหมดของสินค้าสำเร็จรูปตั้งแต่ที่มาตลอดจนจุดที่วางขาย โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ตลอดทั่วทั้งซัพพลายเชน ทั้งแบบเป็น Batch ตามวันที่ หรือข้อมูลที่หาได้ โดยใช้ Unique Identifier หรือค่าเอกลักษณ์

 

 

 

ต่อมา อะไรคือแหล่งข้อมูล? ข้อมูลนี้รวมถึงข้อมูลหลัก เช่น สูตรอาหาร และข้อมูลในฉลาก การรับรองจากต้นทาง รวมถึงเหตุการณ์ต่างๆ และข้อมูลที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทั้งหมดจากโรงงาน เช่น Batch การสอบเทียบของเครื่องมือ (Calibration of Devices) การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล (Cleaning Data) ตัวระบุเอกลักษณ์ข้อมูล (Unique Identifiers) ในระดับของแต่ละแพ็คเกจ และข้อมูลการจัดส่งระหว่างกัน

 

 

 

ประการที่ 3 ผู้ใช้คือใคร?  ผู้บริโภค คู่ค้าด้านซัพพลายเชน เช่น ผู้ส่งสินค้า และผู้ที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการคลังสินค้า ผู้ดูแลกฏระเบียบ และผู้ผลิตทั้งหมดนี้ได้รับการผลักดันจากผู้บริโภคปลายทางและความต้องการที่มากกว่าความปลอดภัย

 

 

 

ท้ายที่สุดแล้ว กรณีการใช้งานหลักยังต้องให้ความสำคัญกับผู้บริโภคปลายทาง ซึ่งเป็นผู้ที่ต้องการความโปร่งใสและการจัดหาวัตถุดิบอย่างมีจรรยาบรรณ รวมถึงซัพพลายเชน ซึ่งต้องสามารถมองเห็นและเชื่อถือได้จริง ผู้ดูแลกฏระเบียบซึ่งมีหน้าที่ดูแลเรื่องการเรียกคืนภาษี และสรรพสามิต รวมถึงผู้ผลิต ที่ดูแลเรื่องการตรวจสอบความปลอดภัยของอาหาร การเรียกคืน และตัวชี้วัดต่างๆ การปฏิบัติตามกฏระเบียบ การประเมินผล รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยง

 

 

 

คุณจะเห็นได้ว่า การตรวจสอบแบบย้อนกลับได้ตลอดทาง นับเป็นข้อปฏิบัติสำหรับบริษัทที่ต้องการสร้างซัพพลายเชนที่น่าเชื่อถือ ยั่งยืนและให้ความยืดหยุ่น อีกทั้งยังสร้างความแตกต่างระหว่างแบรนด์กับคู่แข่งได้

 

 

 

เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ เป้าหมายคือการรวบรวมข้อมูลสำคัญในทุกขั้นตอนที่แตกต่างของห่วงโซ่คุณค่าซึ่งเริ่มจากโรงงาน นอกจากนี้ กระบวนการยังรวมถึงการผสานรวมข้อมูลจากต้นทาง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพของวัตถุดิบ หรือการรับรองเรื่องการดำเนินการที่สอดคล้องตามข้อบังคับ รวมถึงการรวบรวมข้อมูลปลายทางจากซัพพลายเชน และการมุ่งเน้นหรือรวบรวม ข้อมูลทั้งหมดไว้ใน Data Lake โดยคุณสามารถเริ่มสร้างความชาญฉลาดได้ โดยใช้ข้อมูลที่อยู่ในศูนย์กลางหรือ Hub ที่ว่านี้เอง

Post a Comment

#FOLLOW US ON INSTAGRAM