
Circular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียน ทางเลือก VS ทางรอด?
Circular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียน
ทางเลือก VS ทางรอด?
เรียนโดย คุณธนนันท์ จินดากิจสกุลชัย
ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดในวงการอุตสาหกรรม
จากบทความในฉบับที่แล้วที่กล่าวถึง เนื้อหาและหลักการ เกี่ยวกับ Circular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียนซึ่งได้เพียงกล่าวนำไว้ เกี่ยวกับสามบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการเครื่องดื่ม Coca-Cola, Nestlé และ PepsiCo ซึ่งยอดขายในปี 2019 มีดังนี้ คือ Nestlé มียอดขายทั่วโลกกว่า 92 พันล้านเหรียญ PepsiCo ยอดขายกว่า 67 พันล้านเหรียญ Coca-Cola ยอดขายกว่า 37 พันล้านเหรียญ และปริมารการใช้พลาสติกต่อปีในปี 2018 ดังนี้ คือNestlé1.7 ล้าน เมตริกตัน PepsiCo 2.3 ล้าน เมตริกตันและ Coca-Cola 2.9 ล้าน เมตริกตัน ทั้งสามบริษัทยักษ์ใหญ่ได้ให้ความตกลง ในการให้คำมั่นสัญญาในการประชุมร่วมของ United Nations Environment Programmeและมูลนิธิ the Ellen MacArthur Foundation ในปี 2018 ว่าสินค้าในบริษัททั้งหมด 100% จะใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก แบบ นำกลับมาใช้ได้อีก (Reusable) รีไซเคิลได้ (Recyclable) หรือ ย่อยสลายได้ (Compostable) ภายในปี 2025
และในฉบับนี้จะได้กล่าวถึงเนื้อหาด้านนโยบาย กลยุทธ์ทางธุรกิจ และการปฏิบัติ ของบริษัทยักษ์ใหญ่ Coca-Cola, Nestlé และ PepsiCo ในการดำเนินงาน เพื่อที่จะได้บรรลุผล ตามคำมั่นสัญญาดังกล่าว มาติดตามและเรียนรู้กลยุทธ์ ว่าพวกเขาดำเนินการให้เกิดความคืบหน้ามากน้อยเพียงใด การนำนโยบายมาสู่การปฏิบัติของพนักงานภายในองค์กร การขับเคลื่อนของผู้บริหารที่กำหนด KPIตัวชี้วัดและการวัดผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นด้วย
สิ่งแรกคือ การกำหนด นโยบาย และเลือกระดับความสำคัญของแต่ละเป้าหมายของรายการที่ต้องการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมพร้อมกับกำหนดตัวชี้วัด และกรอบเวลาโดยประเมินจากศักยภาพ และสิ่งที่ตนเองมีอยู่ สื่อสารกันภายในองค์กร ถึงเป้าหมาย ตัวชี้วัด และกรอบเวลาเพื่อการปฏิบัติ เช่น การกำหนดให้ภายในองค์กรห้ามใช้ พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งเช่น หลอดพลาสติก ช้อนมีดส้อมพลาสติก ถุงพลาสติก หรือ วัสดุหีบห่อ แบบใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง การตั้งเป้าการ ยกเลิก การใช้PVCภายในปี 2020 ของ Nestlé และ PepsiCo ในขณะที่ Coca-Cola ได้แจ้งว่าได้ยกเลิกการใช้PVC ไปก่อนหน้านี้แล้ว การที่ Nestléกำหนดให้มีการยกเลิกการใช้หลอดพลาสติกภายในปี 2020 แต่ Coca-Cola และ PepsiCo กำหนดให้มีการยกเลิกการใช้หลอดพลาสติกภายในปี 2568 เป็นอันจะเห็นว่าแต่ละบริษัทจะระบุชัดเจนว่าบริษัทตนเองมีรายการที่ต้องการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Negative List) อะไรบ้างที่ต้องยกเลิกภายในกรอบเวลาเมื่อใด
สิ่งที่สองคือ การออกแบบวัสดุของหีบห่อบรรจุภัณฑ์เป็นหัวใจหลัก สำหรับการนำกลับมาใช้ได้อีก (reusable) รีไซเคิลได้ (recyclable) หรือ ย่อยสลายได้ (compostable) เช่น Nestlé มีหน่วยงานที่เป็นสถาบันวิทยาศาสตร์ด้านบรรจุภัณฑ์ ได้ทำงานร่วมกับ พันธมิตรทางอุตสาหกรรม ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ ชนิดใหม่ๆ ซึ่งเป็นกระดาษ เป็นโพลิเมอร์แบบย่อยสลายได้ การพัฒนา การทำ Recycle Food Grade PP การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ และหีบห่อที่เป็น Biodegradable เป็น Recycle การออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้สามารถดื่มได้ โดยไม่ต้องใช้หลอด หรือการใช้หลอดกระดาษแทนหลอดพลาสติก ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ การลดความไม่จำเป็น ของ การใช้ Shrink Film ในการ หอหุ้มสินค้า การลดความไม่จำเป็นที่ต้องใช้ Film ในการหุ้มฝาขวดการเปลี่ยน บรรจุภัณฑ์ หีบห่อ เป็น Reuse และ Recycle เช่น โครงการนำร่อง ของ Nestlé ในอเมริกาที่มีการเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์โลหะ สำหรับสินค้าไอศกรีม Haagen-Dazsเพราะบรรจุภัณฑ์ที่เป็นกระดาษ แต่หากเคลือบด้วยพลาสติกก็ไม่สามารถย่อยสลายได้เป็นต้น การกำหนดเป้าหมายที่จะต้องเพิ่มจำนวนพลาสติกรีไซเคิลให้มากขึ้นในแต่ละปี เช่นเพิ่มสัดส่วนการใช้ rPET , rPP Food Grade ในบรรจุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ เช่น ขวดน้ำ ขวดซอส การเลือกใช้วัสดุที่มาทำเป็นฉลากสินค้า สีของฉลากสินค้า ตลอดจน กาวที่ใช้ยึดติดฉลาก ซึ่งทั้งหมดต้องเป็นแบบรีไซเคิลได้ การเปลี่ยนแปลงสีของภาชนะพลาสติก เช่นขวดซอส Maggi ของNestléจากเดิมเหลืองแดง ให้เป็น ไม่มีสีแบบขวดใส PET เพื่อการนำกลับมารีไซเคิล เช่นเดียวกับ บริษัท Coca-Colaที่ประเทศอังกฤษ ได้เปลี่ยนสีของขวด Sprite จากขวดเขียวให้เป็นขวด PETใส เพื่อให้สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้และได้กำหนดเพิ่มให้มีการใช้ ขวด rPETมากขึ้น ถึง 50% ในปี 2020 สำหรับ Coca-Cola ใน ประเทศต่างๆ ได้มีการตั้งเป้า ให้มีการใช้ rPET ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และเป็น 100% เช่น ในประเทศ Australia ได้ใช้rPETแล้วทั้งหมด ในปี 2019 ขณะที่บริษัท PepsiCo เอง ก็ตั้งเป้าที่ในการใช้ขวดแบบ Virgin PET ลดลงถึง 35% ของสินค้าเครื่องดื่มทั้งหมดที่จำหน่ายอยู่ทั่วโลก ซึ่งจะทำให้ปริมาณการใช้ Virgin plastic ลดลงได้ถึง 2.5 ล้านตัน ภายในปี 2025 .Nestléตั้งเป้าให้มีการใช้ ขวดน้ำดื่มที่จำหน่ายอยู่ทั่วโลกเป็นแบบ rPET ถึง 35% ภายในปี 2025
สิ่งที่สามคือ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในแผนธุรกิจของตนเอง ในการนำกลับมาใช้ใหม่ (Reusable), รีไซเคิลได้ (Recyclable) หรือ ย่อยสลายได้ (Compostable) เช่น PepsiCo ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท Soda Stream ด้วยมูลค่า กว่า 2.3 พันล้านเหรียญ ซึ่งเป็นกิจการจำหน่ายอุปกรณ์การทำเครื่องดื่มน้ำอัดลม ที่ผู้บริโภคสามารถเลือกทำเครื่องดื่มน้ำอัดลมโดยใช้ภาชนะของตนเอง และทำดื่มได้เองที่บ้าน ซึ่ง PepsiCo คาดว่าการจำหน่ายทางช่องทางนี้จะทำให้มีปริมาณการใช้ขวดพลาสติกลดลงได้ถึง 67 ล้านขวด ภายในปี 2025 ซึ่งตัวเลขนี้อยู่บนพื้นฐานของผู้บริโภคที่ต้องการใช้เครื่อง Soda Stream และตัวเลขการเติบโตการจำหน่ายของบริษัท ซึ่งปัจจุบันจำหน่ายในยุโป อเมริกา และ แคนนาดา
PepsiCo ยังได้เปิดตัว Drinkfinity ในยุโป อเมริกา และ บราซิล โดยการนำร่องในอเมริกา ให้ผู้บริโภคสามารถส่งคืนกระปุก (Pod) ให้นำกลับมารีไซเคิลได้ ซึ่งจะได้มีการขยายโครงการรีไซเคิลกระปุก (Pod) นี้ ไปยังประเทศอื่นๆที่มีการจำหน่ายDrinkfinity สำหรับตัว Drinkfinity เป็นชุดเซ็ตที่มีภาชนะเป็นขวดที่มีฝาแบบพิเศษที่สามารถใส่กระปุก (Pod) ซึ่งกระปุกเป็นน้ำหลากรสชาติ ที่สามารถใส่กระปุกนี้ด้วยการกดลงบนขวดที่มีน้ำอยู่ในขวดและเขย่าขวดก็จะได้เป็นเครื่องดื่มพร้อมดื่ม ซึ่งเป็นเทรนด์คนรักสุขภาพ
บริษัท Coca-Cola ในบราซิลได้ลงทุนด้วยวงเงินกว่า 450 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการออกแบบขวด PET ( Reusable PET) ประเภทน้ำอัดลมให้สามารถนำกลับมาใช้ได้และลงทุนโครงสร้างเครื่องจักรให้มีกระบวน การล้างขวดน้ำอัดลมที่นำกลับมาให้สะอาด ปลอดภัย ก่อนบรรจุน้ำอัดลมและส่งจำหน่ายต่อไปอีกทั้ง Coca-Cola ในลาตินอเมริกา ได้ออกแบบให้ ขวดที่ใส่น้ำอัดลมเป็นแบบชนิดที่นำกลับมาใช้ใหม่ (Reusable PET)ด้วย Universal Design สำหรับเครื่องดื่มประเภทเดียวกัน เป็นการเพิ่มนำกลับมาใช้ใหม่ซึ่งสัดส่วนของยอดขายน้ำอัดลมในขวดแบบนำกลับมาใช้ใหม่ คิดเป็น 27% ของยอดขายในลาตินอเมริกา
Universal design for Reusable PET
และบริษัท Coca-Cola ในอเมริกาเองก็ได้ร่วมมือกับบริษัท Closed Loop Partner (CLP) และNext Generation Cup Challenge ซึ่งเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหา การใช้ถ้วยแบบครั้งเดียวทิ้ง ซึ่งการดีไซน์ถ้วยไฟเบอร์ (Fiber Cup)ที่สามารถนำกลับมารีไซเคิลได้หรือ ย่อยสลายได้ (Compostable) คาดว่า ถ้าบริษัท Next Generation Cup Challenge ทำถ้วยแบบ ไฟเบอร์ นี้สำเร็จในราคาคุ้มค่าเหมาะสม จะทำให้สามารถกระจายสู่ตลาดได้ถึง 250 พันล้านถ้วยในแต่ละปี
บริษัท Coca-Cola ยังได้ใช้เทคโนโลยีที่ตนเองมีอยู่ ในเครื่องขายน้ำดื่ม แบบเครื่องจ่ายอัตโนมัติภายใต้ยี่ห้อ Dasini Pure Fillโดย ให้มี หน้าจอแบบสัมผัส ที่สามารถเลือกเติมรสชาติน้ำดื่มได้เอง และสามารถใช้ Application ในโทรศัพท์ มือถือในการค้นหาตำแหน่งที่มีเครื่องนี้ในการซื้อน้ำดื่ม และจ่ายเงินได้แบบไร้เงินสด ซึ่งการจำหน่ายโดยรูปแบบนี้จะมีการขยายไปในเครื่องดื่มประเภทอื่นด้วย
บริษัท PepsiCo เองก็ได้ออก โครงการนำร่องในอเมริกา ชื่อ PepsiCo Hydration Platform ในลักษณะที่ขายน้ำดื่มแบบเครื่องจ่ายอัตโนมัติ เช่นเดียวกับ Dasini Pure Fill และได้ทำโครงการ Pepsi Spire สำหรับเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมแบบเครื่องจ่ายอัตโนมัติที่ผู้ซื้อสามารถเลือกรสชาติได้เอง
บริษัท Nestlé เองซึ่งมีการจำหน่าย กาแฟและไมโลแบบเครื่องจ่ายอัตโนมัติ ในหลายประเทศ ก็กำลังทำโครงการนำร่อง เพื่อ ขายน้ำดื่ม แบบเครื่องจ่ายอัตโนมัติได้เช่นกัน
สิ่งที่สี่คือ ช่องทางการจำหน่ายสินค้า ระบบการขนส่ง กับ บรรจุภัณฑ์นำกลับมาใช้ใหม่ทั้ง Coca-Cola, Nestlé และ PepsiCo ได้ร่วมกับ บริษัท Loopซึ่งเป็นผู้ให้บริการในการส่งสินค้า การรับภาชนะบรรจุภัณฑ์กลับ มาใช้ใหม่ ด้วยการทำความสะอาดและส่งให้ผู้ผลิต บรรจุสินค้ามาจำหน่ายอีกครั้ง ซึ่งธุรกิจนี้เป็นช่องทางของผู้ผลิตในการ ลดปริมาณการใช้บรรจุภัณฑ์ ใหม่ เช่น Nestlé ในอเมริกา ได้นำร่องการนำกลับมาใช้ใหม่ของกระปุกโลหะ ไอศกรีม Haagen-Dazs ทางบริษัทCoca-Cola เองก็ร่วมกับ Loopและ Carerefourในการนำกลับมาใช้ใหม่ของบรรจุภัณฑ์ของสินค้าบางประเภท สำหรับ PepsiCo ได้ร่วมกับ Loop ในโครงการนำร่อง ในอเมริกา ในการจำหน่ายและให้บริการรับภาชนะกลับ สำหรับ น้ำส้ม Tropicana และ Quaker Cruesil Cereal
ทาง Nestlé เอง ได้ร่วมกับบริษัท MIWA ในการจำหน่ายสินค้าแบบปริมาณ มากโดยใส่ในภาชนะที่เป็น Reusable Capsule และ Reusable Container ของ MIWA ซึ่งทาง MIWAมีเครื่อง จำหน่ายสินค้าแบบเครื่องจ่ายอัตโนมัติ ตั้งอยู่ใน Supermarket สินค้าจะถูกใส่มา ใน ภาชนะที่เป็น Reusable Capsule จากผู้ผลิต และจะถูกนำไปใส่ในเครื่องจัดจำหน่ายสินค้าของตนแบบเครื่องจ่ายอัตโนมัติ โดยผู้ซื้อจะมีภาชนะที่สามารถนำกลับมาใช้ (Reusable Container) ในการซื้อครั้งถัดไปการจัดจำหน่ายด้วยวิธีนี้จะเป็นการลดขยะ จาก บรรจุภัณฑ์ ฉลากสินค้า กาว สี Shrink Film ต่าง ๆ จากหีบห่อแบบครบวงจรตั้งแต่ผู้ผลิต จนถึงผู้บริโภค
จากทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นว่า การตั้งเป้าหมายและให้คำมั่นสัญญาของผู้ผลิตรายใหญ่ทั้งสามบริษั ที่ต้องหันกลับมาช่วยสร้างสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น ในแบบที่ผู้บริโภคทั้งหลายต่างจ้องมอง ติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อให้มีการลดปริมาณขยะที่เกิดจากการผลิตและการบริโภค ทำให้ผู้ผลิตต้องมีการลงทุนและพัฒนาบรรจุภัณฑ์แบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบจริงจัง มากขึ้น ตลอดจน การจำหน่ายสินค้าที่ไม่ต้องมีบรรจุภัณฑ์เลยการใช้เทคโนโลยี การเข้าซื้อกิจการ และรูปแบบธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งยังคงทำให้ธุรกิจเติบโตและแข่งขันได้ในตลาด โดยไม่มีแรงต้านจากผู้บริโภคในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม
ในด้านผู้ผลิตในกลุ่มปิโตรเคมี การขับเคลื่อนทางด้านสิ่งแวดล้อมและ การนำCircular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ ใน ธุรกิจ FMCG ( Fast Moving Consumer Goods)เหล่านี้ การยกเลิกการใช้ PVC, PVDC, PS, ePS การเพิ่มความต้องการ ด้วยวัสดุrPET,Reusable PET, rPP Food Gradeจะส่งผลให้ปริมาณ การใช้ Virgin Plastic จะลดลงอย่างมากการปรับเปลี่ยน ของผู้ผลิตในกลุ่มปิโตรเคมี โดยนำ Circular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียน มาใช้จึงเป็นทางรอดเพื่อให้ธุรกิจ อยู่ได้และเติบโต ไปพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของลูกค้า และ พฤติกรรมผู้บริโภค