
Circular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียน ทางเลือก VS ทางรอด?
เขียนโดย คุณธนนันท์ จินดากิจสกุลชัย
ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดในวงการอุตสาหกรรม
Circular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียน
ทางเลือก VS ทางรอด?
สามบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการ เครื่องดื่ม Coca-Cola, Nestlé and PepsiCo. ถูกตั้งคำถาม ว่าเป็นที่มาของขยะพลาสติกเป็นจำนวนมาก เพราะเครื่องดื่มมากับบรรจุภัณฑ์พลาสติก เมื่อธุรกิจเครื่องดื่มเติบโต บรรจุภัณฑ์พลาสติกก็เติบโตและขยะพลาสติกก็เพิ่มมากขึ้น ในการประชุมร่วมของ United Nations Environment Programme และมูลนิธิ the Ellen MacArthur Foundation ในปี 2561 บริษัท Coca-Cola, Nestlé and PepsiCo. และบริษัทผลิตสินค้าอุปโภค บริโภค ประเภท FMCG ( Fast Moving Consumer Goods) และรายอื่นๆอีกกว่า 200 บริษัท ให้ความตกลง ในการให้คำมั่นสัญญาว่าสินค้าในบริษัททั้งหมด 100% จะใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบนำกลับมาใช้ได้อีก (reusable) รีไซเคิลได้ (recyclable) และ ย่อยสลายได้ (compostable) ภายในปี 2568
เศรษฐกิจหมุนเวียน Circular Economy คืออะไร?
เชื่อว่า พวกเราเริ่มได้ยิน คำว่า Circular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียนมากขึ้น และทำไมบริษัทชั้นนำในต่างประเทศ และบริษัทชั้นนำในประเทศไทยเอง ถึงเริ่มนำเรื่อง Circular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียนเข้ามาอยู่ในแผนธุรกิจเพื่อสร้างความอยุ่รอด และความยั่งยืนของบริษัท ดังนั้นเราจึงต้องเข้าใจว่า Circular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียน คืออะไร และจะช่วยให้บริษัทอยู่รอดได้อย่างไร
ในอดีตที่ผ่านมา ในภาคธุรกิจเราเน้นการผลิตเพื่อการบริโภค ที่มีปริมาณมากแบบต้องผลิตให้ได้ถึง Economy of scale เราเน้นการผลิตเยอะให้มีตุ้นทุนต่ำ มีการกระตุ้นผู้บริโภคให้มีความต้องการในการบริโภคที่เพิ่มขึ้น ทำให้อายุของผลิตภัณฑ์สั้นลง มีการเปลี่ยนแปลงจับกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคให้เกิดความต้องการเป็นแฟชั่นนิยมมากขึ้น ซึ่งการบริโภค ถูกผลักดันโดยผู้ผลิต เป็นระบบเศรษฐกิจ “แบบเส้นตรง (Linear Economy)” ที่เน้นการนำทรัพยากรมาผลิตและบริโภคแบบใช้แล้วทิ้งที่ก่อให้เกิดขยะจำนวนมาก(Take-Make-Dispose) มีการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เป็นจำนวนมาก จากผลการวิจัยที่รายงานใน World Business Council for Sustainable Development (WBCSD) มีการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้เพิ่มขึ้นเป็น 300% ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าหากเป็นเช่นนี้อีกต่อไป ความต้องการจะเพิ่มขึ้นเป็น 400 % ภายในปี 2593 ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขาดแคลนแหล่งวัตถุดิบ ดังนั้นราคาวัตถุดิบ พลังงาน ผืนดิน น้ำ จะมีราคาสูงขึ้น หรือเกิดภาวะการขาดแคลน ไม่เพียงพอต่อการบริโภค และอาจเกิดสภาวะที่ส่งผลกระทบไปทุกภาคส่วนทั้งเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคง ซึ่งรวมถึงขยะและมลภาวะที่จะกระทบต่อระบบสิ่งมีชีวิต และห่วงโซ่อาหาร สุขภาพอนามัยของประชาชน
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาเรา เริ่มคุ้นเคยกับระบบเศรษฐกิจที่มีการนำกลับมาใช้ (Reuse Economy) ซึ่งช่วยลดปริมาณขยะที่ทำลายสิ่งแวดล้อมให้ลดลงไปได้บ้าง แต่ก็ยังไม่ทำให้ของเสียที่เกิดขึ้นหายไป เพราะมีขยะบางส่วนเกิดขึ้นจากการที่ไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีกและส่งผลต่อระบบนิเวศน์ และมลภาวะ
Circular Economy เศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นระบบผลิต “แบบวงกลม ที่ให้ความสำคัญกับการจัดการขยะและของเสียจากสินค้าหลังจากการบริโภค เป็นระบบที่เอื้อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และนำผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตได้อีก (Make-Use-Return) หลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียน อยู่บนพื้นฐานที่เริ่มต้นตั้งแต่ การดีไซน์ผลิตภัณฑ์ที่จะเลือกให้ของเสียและมลภาวะ ที่มาจากวัสดุของผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ถูกนำมาใช้ให้เป็นวัตถุดิบส่งคืนสู่ธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ โดยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมีหลักการพื้นฐานมาจากแนวคิดชีวลอกเลียน (Bio Mimicry) แนวคิดอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-industry) และแนวคิดการออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ตามติดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่ขั้นก่อนการผลิตไปจนถึงหลังการใช้งาน โดยยึดหลักของธรรมชาติเป็นแม่แบบ “ธรรมชาติ” หรือ Cradle to Cradle (C2C) Design ดังนั้นเศรษฐกิจหมุนเวียนจึงเป็นระบบการผลิตที่ไม่มีของเสีย เนื่องจากของเสียของธุรกิจหนึ่งจะสามารถนำไปเป็นวัตถุดิบต้นทางของอีกธุรกิจ แบบต่อเนื่อง
หลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Principle of Circular Economy)ตั้งอยู่บนหลักการ 3 ประการ ได้แก่
หลักการที่ 1) การรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพทุนด้านทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Capital) ตั้งแต่การใช้พลังงานที่มีอยู่อย่างจำกัดทางธรรมชาติให้เกิดความสมดุล เพื่อป้องกันการขาดแคลนและสภาวะที่ทำให้ต้นทุนของพลังงานทางธรรมชาติมีราคาสูง การมุ่งหาเลือกใช้พลังงานทดแทน และพลังงงานทางเลือกใหม่
หลักการที่ 2) การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดด้วยการหมุนเวียนวัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบและวัสดุต่าง ๆ โดยผ่านสองวงจรที่สำคัญคือ วงจรหมุนเวียนทางชีวภาพ (Biological Cycles) และ วงจรหมุนเวียนทางเทคนิค (Technical Cycles) ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นเพื่อลดของเสียและเข้ากับห่วงโซ่ชีวภาพ โดยสามารถย่อยสลายได้ไม่มีสารพิษ สินค้าจะต้องให้ใช้ได้อย่างยาวนาน (Long-Lasting) นำมาผลิตใหม่ได้ (Remanufacturing) ซ่อมแซ่มหรือปรับปรุงใหม่( Refurbishing, Repair, Maintenance) นำกลับมาใช้ซ้ำ (Reuse) ให้คุ้มค่าได้ และนำกลับไปเข้ากระบวนการแปรรูปให้เป็นวัตถุดิบ (Recycling) ตลอดจนการแปรวัสดุต่าง ๆ ที่จะกลายเป็นขยะให้กลับมาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ โดยการนำมาเพิ่มมูลค่า (Upcycling) ใส่ไอเดียใหม่ๆ ความสวยงาม ความทันสมัยให้กับสิ่งที่กำลังจะกลายเป็นขยะ ดังนั้นการออกแบบผลิตภัณฑ์ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่มุ่งเน้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการผผลิตที่จะไม่ก่อให้เกิดของเสีย (Waste) ออกนอกระบบผลิต และตลอดอายุของวงจรผลิตภัณฑ์ ทำให้ผลิตภัณฑ์มีความคงทน มีการสร้างความยืดหยุ่น (Resilience) ผ่านความหลากหลาย (Diversity) มีคุณสมบัติการแยกส่วน (Modularity) สามารถนำมาใช้ได้อีกครั้ง โดยใช้พลังงานน้อยที่สุดและสามารถคงคุณภาพเดิมได้มากที่สุด
หลักการที่ 3) การรักษาประสิทธิภาพของระบบด้วยการออกแบบให้ ผลิตภัณฑ์ หรือสินค้านั้นๆ เมื่อหมดอายุการใช้งานแล้วจะต้องไม่ก่อให้เกิดของเสียหลุดรอดออกไปจากระบบ ไปทำลายระบบนิเวศ ไปทำลายระบบสิ่งแวดล้อม ที่อาจมีผลต่อสิ่งมีชีวิตรวมทั้งพืชและสัตว์ ซึ่งเป็นห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงและลดผลกระทบด้านลบจากผลิตภัณฑ์ให้มากที่สุด(Minimize systematic leakage and negative externalities) คือการปกป้องไม่ให้เกิดของเสีย
มีรายละเอียดทางวิชาการอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน แต่ขอกล่าวไว้เพียงเบื้องต้นเป็นการ กล่าวนำ ให้เข้าใจหลักการเบื้องต้นเท่านั้น เพราะจะขอกล่าวเศรษฐกิจหมุนเวียนในมุมมองของนักการตลาด ที่ต้องการให้ความรู้ต่อผู้บริโภค ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงพฤษติกรรมการบริโภค และให้มุมมองโอกาสการเปลี่ยนแปลง ในการทำธุรกิจที่จะมีส่วนร่วมกัน ในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งจะต้องเริ่มจาก ภายในแต่ละองค์กรหรือบริษัท ทำการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนภายในองค์กรเองโดยไม่เกี่ยวข้องภายนอก (Fragmented transition to Circular Economy) ต่อจากนั้นให้มีการขยายไปเป็นทั้งระบบห่วงโซ่การผลิตแบบปิด (Circularity in closed supply chains) ซึ่งพัฒนาแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนพัฒนาไปสู่บริษัทอื่นๆ ในห่วงโซ่อุปสงค์เดียวกันเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทให้สูงขึ้นอีก และขยายระดับเข้าสู่แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในระดับ Ecosystem (Circularity in Closed Ecosystem) เป็นการพัฒนาทั้งระบบทั้งในระดับเอกชนและภาครัฐ ซึ่งต้องใช้ความร่วมมือทั้งของภาคเอกชนและภาครัฐ ความสำคัญของนโยบายภาครัฐแบบ Horizontal policy ที่บูรณาการนโยบายให้มีความต่อเนื่อง เกี่ยวข้องกันข้ามกระทรวง กรม กอง หน่วยงานของรัฐในการวิจัยพัฒนา วัสดุ ผลิตภัณฑ์ด้านการค้า มาตรฐานผลิตภัณฑ์ สิ่งแวดล้อม สำหรับประเทศไทย เราเริ่มมองเห็นหลายหน่วยงานของรัฐ กรมควบคุมมลพิษ ออกมากำหนดร่าง ( Roadmap) ในการจัดการและกำจัดขยะพลาสติก มองเห็นนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม และนโยบายรัฐบาลด้านบีซีจี (BCG : Bio economy , Circular economy , Green economy) ที่มุ่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระดับฐานราก หรือเศรษฐกิจชีวภาพ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า คำนึงถึงการนำวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และมุ่งแก้ไขปัญหามลพิษ ลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจให้มีความเจริญเติบโตอย่างมั่นคง มองเห็น สมอ. ได้ประกาศใช้มาตรฐานเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy : CE) หรือมาตรฐานการใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนในองค์กร มาตรฐานเลขที่ 2-2562 เรายังคงมองหานโยบายของรัฐ ซึ่งอาจจะเป็นในด้านภาษี Green Tax, Free zone พร้อมทั้งแหล่งเงินทุนสนับสนุน อัตราดอกเบี้ยต่ำ หรือเปิดโอกาสให้มีการระดมทุนในหุ้นกู้ Green Bond ซึ่งเหล่านี้จะเอื้อต่อการลงทุนให้กับภาคเอกชน หรือผู้ประกอบการรายเดิม และรายใหม่ที่ต้องการลงทุนใน ธุรกิจที่เป็นหรือเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจหมุนเวียน เพราะต้นทุนในการผลิตสินค้าที่เป็นต่อมิตรสิ่งแวดล้อม ยังคงมีราคาสูง การทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลงอย่างเหมาะสมและสมดุล ทั้งผู้ผลิตสามารถทำได้ และผู้บริโภคสามารถเข้าถึงการบริโภคได้ ทั้งนี้เพื่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี เพิ่มความยั่งยืนและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศไทย